วิธี อ่านค่าไตเบื้องต้น ให้ถูกต้อง
ผู้ป่วยไตเรื้อรังหลายๆท่านเคยสงสัยกันบ้างไหมคะว่าที่คุณหมอแจ้งเราว่า “ค่าไตของคุณสูง/ต่ำเกินไป”
เขาดูจากอะไรกันแน่? แยกอาการเราออกได้ยังไงว่าเข้าสู่ภาวะระยะโรคไตที่เท่าไร
BUN (Blood urea nitrogen) หรือที่เรียกว่า บียูเอ็น นี้ เป็นการตรวจค่าไนโตรเจนจากสารยูเรียในกระแสเลือดค่ะ ซึ่งโดยปกติแล้ว “ยูเรีย” เป็นสารผลผลิตของเสียสุดท้ายของร่างกาย มีกลิ่นเหม็นและถูกขับออกมาในรูปแบบของปัสสาวะหรือฉี่ของเรานั่นเอง แต่ถ้าหากร่างกายเกิดความผิดปกติ ยูเรียที่สะสมคั่งค้างในร่างกายจะผ่านเข้าเยื่อเม็ดเลือดแดงแล้วเข้ามาสู่กระแสเลือดแทน
โดยค่าปกติ BUN ปกติของร่างกายเราตามใบตรวจเลือด
ผู้ใหญ่ = 10 – 20 mg/dL เด็ก = 5-18 mg/dL
**mg/dl คือ มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร**
แต่สำหรับผู้ป่วยไตที่ในส่วนไตเกิดความเสียหายร้ายแรงแล้ว ค่า BUN จะสูงกว่าปกติ โดยอาจจะบ่งชี้ได้หลายสาเหตุสำคัญ ดังนี้
ครีอะตินีน สารชื่อเฉพาะที่เป็นพลังงานที่เกิดจากการที่เราขยับร่างกายและกล้ามเนื้อของเราในชีวิตประจำวัน มีสารตั้งต้นเป็น ครีอะติน (Creatine phosphate) ซึ่งถูกสร้างมาจากชั้นของกล้ามเนื้อเราอีกทีในทุกๆครั้งที่เราออกแรกในการทำกิจกรรมใดๆประจำวัน ตัวครีอะตินีนถูกขับออกทางไตออกมากับปัสสาวะ
ซึ่งค่าปกติของครีอะตินีนในเลือดต้องต่ำมากหรือแทบจะไม่มีอยู่ แต่ถ้าในน้ำปัสสาวะจะมีอยู่เป็นจำนวนมาก
ค่าปกติทั่วไปของครีอะตินีน
ผู้ชาย คือ 0.6 – 1.2 mg/dL ผู้หญิง คือ 0.5 – 1.1 mg/dL เด็ก คือ 0.3 – 0.7mg/dL
**mg/dl คือ มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร**
แต่ถ้าหากตรวจพบว่าครีอะตินีนในเลือดสูง และในน้ำปัสสาวะก็สูง! แสดงว่าคุณน่าจะเข้าสู่โรคไตแล้วค่ะ
ข้อดีของค่าครีอะตีนีนคือสามารถวัดประสิทธิภาพการทำงานของไตที่เหลืออยู่ได้ด้วยว่าไตของคุณทำงานได้อีกกี่เปอร์เซนต์แล้ว แล้วกำลังเข้าสู่ระยะโรคไตที่เท่าไรแล้ว
ซึ่งในผู้ป่วยไตวิกฤตนั้นจะมากกว่า 4.0 mg/dL เป็นกลุ่มที่ไตไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป อาจต้องรักษาด้วยการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไตใหม่
โดยค่าครีอะตินีนที่สูงนั้นแบ่งตามข้อบ่งชี้ได้หลายสาเหตุสำคัญ ดังนี้
โดยจะเปรียบเทียบของทั้ง 2 ค่าสารที่ตรวจดังกล่าวออกมาในรูปแบบของอัตราส่วนที่เรียกว่า “BUN / Creatinine Ratio” : อัตราส่วนของค่า BUN กับ Creatinine ในเลือด ซึ่งมีจุดสังเกตและควบคุมปริมาณ 2 สารดังกล่าวเล็กๆ ดังนี้
โดยในอัตราส่วนปกติทั่วไปทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ทุกเพศทุกวัย (ยกเว้นเด็กทารก) ค่า BUN ต่อ Creatinine คือ 10-20 : 1 หากมากกว่าอัตราส่วนดังกล่าวถือว่าคุณมีค่า BUN / Creatinine Ratio สูงกว่าปกติ!
ซึ่งบ่งชี้ได้ว่าคุณ “เสี่ยง” ต่ออาการของโรค หรือเกิดอาการ ดังนี้
(Estimated glomerular filtration rate : eGFR) หรือค่า GFR ถือว่าเป็นค่าที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยว่าคุณนั้นเป็นโรคไตหรือไม่ แล้วเป็นโรคไตแบบใด กำลังอยู่ในระยะใดโดยจะตรวจอัตราไหลของเลือดผ่านการกรองของเสียของไตในระยะเวลา 1 นาที ตามข้อมูลเพศ อายุ เชื้อชาติ และค่า Creatinine เฉพาะบุคคล
โดยมีจุดสังเกตใบค่าตรวจเลือดรวมว่ายิ่งค่า Creatinine สูงขึ้น ทำให้ eGFR ยิ่งมีค่าต่ำลง ค่า eGFR หากยิ่งต่ำลงก็ยิ่งบ่งบอกระยะโรคไตที่คุณเป็นอีก โดยแบ่งระยะตามค่า eGFR ที่ตรวจได้ ดังนี้
ระยะไตที่ 1 : มากกว่าหรือเท่ากับ 90 ml/min/1.73m2 ไตยังทำงานปกติ แต่ตรวจพบความผิดปกติทางโครงสร้าง
หากตรวจสุขภาพประจำปีบ่อยก็มักจะเจอได้ไว ในระยะนี้ ซึ่งเป็นผลดีต่อตัวคุณเองค่ะ เพราะวิธีการดูแลตนเองมีไม่มากนักเพียงแค่ดื่มน้ำมากๆและลดการทานอาหารรสจัดลง หายได้ง่ายถ้าคุณดูแลตัวเองมากพอ
ระยะไตที่ 2 : 60-89 90 ml/min/1.73m2 ไตทำงานผิดปกติเล็กน้อย
ความผิดปกติแสดงออกมาเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสดูแลตัวเองให้หายขาดได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลกับภายใน ไม่ว่าจะเป็นอาหารและยารักษาโรคที่ทาน หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ต้องมีวินัยพอสมควรในการควบคุมสิ่งที่ส่งผลกระทบดังกล่าว
ระยะไตที่ 3 : 30-59 90 ml/min/1.73m2 ระยะก่อนฟอกไต คุณเข้าขั้นเป็นไตเรื้อรังแล้วนะ!
ระยะนี้เป็นระยะที่ค่าไตหรือค่า eGFR ลดลงมาก การควบคุมแค่อาหาร ยา และพฤติกรรมไม่เพียงพอแล้ว ต้องเข้ารับการรักษาอย่างจริงจัง เพราะยังมีภาวะที่เสี่ยงเป็นภาวะโรคแทรกซ้อนต่างๆ ทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โลหิตจาง และอื่นๆ
เป็นระยะที่คนไทยเริ่มที่มีการตรวจสุขภาพบ้างแล้วได้เข้ารับการตรวจเลือดมักตรวจพบโรคไตได้ทัน ถึงจะละเลยจนเข้าสู่ระยะที่ 3 แต่ยังมีโอกาสรักษาและประคับประคองอาการต่อไปได้
ระยะไตที่ 4 : 15-29 90 ml/min/1.73m2 ระยะก่อนฟอกไตที่เริ่มหนัก
ควรมีการวางแผนรักษาระยะยาวแล้ว ต้องเน้นควบคุมสารอาหารอย่างเคร่งครัดเพื่อประคองอาการไม่ให้แย่ลง ทั้งโปรตีน โซเดียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม
ระยะไตที่ 5 : ต่ำกว่า 15 90 ml/min/1.73m2 ระยะสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ถ้าคุณปลูกถ่ายไตใหม่
เป็นระยะที่ต้องเลือกตามคำแนะนำของแพทย์ว่าสามารถรับการฟอกไตทั้งผ่านช่องท้องหรือผ่านเครื่องฟอกไตเทียม หรือท้ายที่สุดแล้วควรหาอวัยวะไตใหม่จากผู้บริจาคเพื่อรักษาโดยปลูกถ่ายไต
โดยการวินิจฉัยอาการประกอบกับการรักษานั้นประเมินจากสภาพร่างกาย โรคหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ซึ่งจะต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัดที่สุดในการปรับการทานอาหารก่อนและหลังการฟอกไตตามคำแนะนำของแพทย์ทุกประการ เพื่อกลับไปใช้ชีวิตกับคนที่คุณรักได้อย่างปกติที่สุดและนานที่สุด
**ในระยะที่ 5 นี้ สิทธิประกันสังคมครอบคลุมการรักษาในหลายส่วน สามารถติดต่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ประกันสังคมและแผนกประกันสังคมประจำโรคพยาบาลที่ใช้สิทธิ**
*** ml/min/1.73m2 เป็นอัตราการกรองของไตโดยเฉพาะ***
ปรับปรุงข้อมูลล่าสุด เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568