
การวัดความดันโลหิต
การวัดความดันโลหิต
เป็นที่ทราบกันทั่วไป ภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดโรคอันตรายร้ายแรง เช่น เส้นโลหิตในสมองแตก ทำให้เป็นอัมพาต โรคหัวใจขาดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น
ภาวะความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการ จนกว่าจะมีโรคแทรกซ้อนร้ายแรงเกิดขึ้นแล้วจึงจะปรากฏอาการ เพราะฉะนั้นปัญหาที่สำคัญในการควบคุมโรคความดันโลหิตสูง คือ การทำให้ประชากรกลุ่มที่มีความดันโลหิตสูง ทราบว่าตนเองมีความดันโลหิตสูง จากสถิติพบว่า ในประเทศไทย ประชากรที่มีความดันโลหิตสูง ทราบว่าตนเองมีความดันโลหิตสูง เฉลี่ยเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น
ความดันโลหิต จะประกอบด้วย ความดันตัวบน เรียกว่า ความดันซิสโตลิค (Systolic Pressure) และความดันตัวล่าง เรียกว่า ความดันไดแอสโตลิค (Diastolic Pressure) ซึ่งค่าปกติจะไม่เกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท ถ้าความดันโลหิตสูงกว่านี้ ถือว่ามี “ความดันโลหิตสูง”
ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกได้กำหนดเกณฑ์การวินิจฉัยความดันโลหิตสูงไว้ว่า
“ความดันโลหิตสูง” คือ สภาวะที่ค่าของความดันเลือดที่วัดอย่างถูกต้อง และมีการตรวจวัดหลายๆ ครั้ง ในต่างวาระกันแล้ว พบว่ามีระดับของความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท
ผู้รับการตรวจวัดความดันโลหิต ควรละเว้นสิ่งต่อไปนี้ ก่อนวัดความดันโลหิต ประมาณ 1 ชั่วโมง ได้แก่
1. การออกกำลังกาย
2. การดื่มกาแฟ สุรา หรือเครื่องดื่มผสม คาเฟอีน
3. การสูบบุหรี่
4. ควรนั่งพักประมาณ 5 นาที และถ้าพบว่า มีความดันโลหิตสูง ควรตรวจวัดซ้ำอีก 2-3 ครั้ง
ส่วน ผู้ที่ยืนยันการวินิจฉัยว่า มีความดันโลหิตสูง ควรปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อลดระดับความดันโลหิตลง ดังนี้
1. ลดน้ำหนัก ถ้ามีน้ำหนักเกิน
2. จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
3. เพิ่มการออกกำลังกาย ชนิดแอโรบิค (30-45 นาที/วัน)
4. จำกัดปริมาณโซเดียม (งดรับประทานเค็มให้มากที่สุด)
5. ได้รับโปแตสเซียมอย่างเพียงพอ เช่น รับประทานผลไม้มากขึ้น
6. หยุดการสูบบุหรี่
7. ลดการรับประทานไขมัน และโคเลสเตอรอล
จากการศึกษา การรับประทานอาหารที่เน้น ผัก ผลไม้ และนมไขมันต่ำ ลดเค็ม ร่วมกับลดปริมาณไขมัน สามารถลดความดันโลหิตลงได้ประมาณ 8-14 มม.ปรอท
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ดังกล่าวจะให้ประโยชน์ทั้งในด้านการลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ จึงถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น ถึงแม้ผู้ป่วยจะได้รับยาลดความดันโลหิตแล้วก็ตาม
เมื่อปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตแล้ว 3-6 เดือน ยังไม่สามารถลดความดันโลหิตได้ดีพอ ควรใช้ยารักษาลดความดันโลหิต ตามคำแนะนำของแพทย์
โดย นพ. วิชัย จตุรพิตร ผู้อำนวยการ ศูนย์แพทย์อาชีวะเวชศาสตร์กรุงเทพ
โคเลสเตอรอล (CHOLESTEROL)
โคเลสเตอรอล (CHOLESTEROL) เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่พบในเลือด แม้ไม่สามารถให้พลังงานแก่ร่างกายได้ แต่ก็มีประโยชน์ในการสร้างกรดน้ำดีซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร สร้างฮอร์โมนบางชนิด และวิตามินดี รวมทั้งเป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ ตับสร้างไขมันโคเลสเตอรอลได้ แต่เมื่อใดที่โคเลสเตอรอลในเลือดมีมากเกินความต้องการของร่างกาย คือ มากกว่า 200 mg/dl โคเลสเตอรอลเหล่านี้มีโอกาสไปสะสมใต้ผนังหลอดเลือดด้านในมากขึ้นทำให้หลอดเลือดตีบและอุดตันในที่สุด
โคเลสเตอรอลในเลือดจึงให้ทั้งคุณและโทษ และจะเป็นการดีอย่างยิ่งหากวันนี้เรารู้ระดับโคเลสเตอรอลของตนเอง เพื่อทำการป้องกันปัญหาโรคหลอดเลือดแดงตีบตันในอนาคตตั้งแต่เนิ่นๆ นอกจากนี้ ยังมีไขมันอีกชนิดหนึ่งที่เราจำเป็นต้องทำความรู้จักให้ดีก็คือ ไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งทำหน้าที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย โดยร่างกายรับไตรกลีเซอไรด์ได้โดยตรงจากการกินอาหารประเภทไขมัน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงจากอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่หากร่างกายสะสมไตรกลีเซอไรด์มากเกินไป จะเร่งการสะสมโคเลสเตอรอลใต้ผนังหลอดเลือด ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้
โคเลสเตอรอลในเลือดมาจากไหน ?
หลายๆ ท่านคงคิดว่าปริมาณของโคเลสเตอรอลในเลือดจะสูงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะยังมีปัจจัยอื่นอีกที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโคเลสเตอรอลสูงได้ เรามาดูกันว่าโคเลสเตอรอลมากจากไหนได้บ้าง
• จากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป
โดยอาหารที่มีผลกระทบต่อปริมาณโคเลสเตอรอล ได้แก่ อาหารที่มีโคเลสเตอรอลร่วมอยู่ด้วย ซึ่งมีอยู่ในอาหารที่มาจากสัตว์ทุกประเภทโดยปริมาณโคเลสเตอรอลแตกต่างกันตามชนิดและอวัยวะ โดยเครื่องในสัตว์และไข่แดง (ทุกประเภท) จะมีปริมาณโคเลสเตอรอลสูงมาก
• จากการสร้างขึ้นเองของร่างกาย
ร่างกายสามารถสังเคราะห์โคเลสเตอรอลขึ้นมาได้จากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต, โปรตีน, และไขมัน โดยเฉพาะจากไขมันอิ่มตัว อาจสรุปได้ว่าระดับโคเลสเตอรอลในเลือดจะเปลี่ยนแปลงได้จากการรับประทานอาหารที่มีโคเลสเตอรอล และอาหารประเภทไขมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงๆ รวมถึงผลทางอ้อมจากการรับประทานอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลเกินความต้องการของร่างกาย
ไขมันในเลือดมีกี่ชนิด ?
มีอยู่หลายชนิด แต่ที่สำคัญและควรทราบมี 3 ชนิด คือ
1. แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล (LDL Cholesterol)
ไขมันตัวนี้เปรียบเสมือน “ตัวผู้ร้าย” ถ้ามีปริมาณมากจะสะสมอยู่ในหลอดเลือดแดงเป็นต้นเหตุของหลอดเลือดแดงแข็ง ยิ่งระดับ แอล ดี แอล โคเลสเตอรอลสูงมากเท่าไหร่ อัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
2. เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล (HDL Cholesterol)
เปรียบเสมือน “ตำรวจ” คอยจับผู้ร้าย เพราะเป็นตัวกำจัด แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล ออกจากหลอดเลือดแดง การมีระดับเอช ดี แอล โคเลสเตอรอลสูง จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
3. ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride : TG)
เป็นไขมันอีกประเภทหนึ่งในกระแสเลือด เปรียบเสมือน “ผู้ช่วยผู้ร้าย” คนที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงพร้อมกับระดับ เอช ดี แอล โคเลสเตอรอลต่ำ หรือ แอล ดี แอล โคเลสเตอรอลสูง ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
โคเลสเตอรอล…สูงหรือต่ำ วัดกันอย่างไร?
วิธีดูว่าใครมีโคเลสเตอรอลสูง ทางการแพทย์จะเทียบกับค่าที่พึงปรารถนาของระดับ แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล ซึ่งค่าดังกล่าวขึ้นกับว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ถ้ายังไม่เป็น… ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องคำนึงถึงนอกจาก แอล ดี แอล มีดังนี้
1. อายุ : ชายมากกว่า 45 ปี หญิงมากกว่า 55 ปี
2. ญาติสายตรงป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจก่อนวัยอันควร (ชายก่อนอายุ 55 ปี หญิงก่อนอายุ 65 ปี)
3. ความดันโลหิตสูง
4. สูบบุหรี่
5. เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล น้อยกว่า 40 mg/dl
หากสามารถลดระดับโคเลสเตอรอลรวมลงได้ 1 % จะสามารถลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจลงได้ 2 %
สาเหตุที่ทำให้โคเลสเตอรอลสูง
มีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ คือ
•อาหาร
การบริโภคอาหารประเภทไขมันอิ่มตัวมากเกินไป
การบริโภคอาหารที่มีโคเลสเตอรอลมากๆ
การบริโภคอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย
•พันธุกรรม
•โรคและยา
เช่น โรคไต เบาหวาน ยาบางชนิด เป็นต้น
ทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าโคเลสเตอรอลสูง
การรักษาเพื่อลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ในบางคนเพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็สามารถช่วยได้ ในขณะที่บางคนอาจต้องพิจารณาใช้ยาลดระดับโคเลสเตอรอลควบคู่กันไป
ลดระดับโคเลสเตอรอลด้วยอาหาร
การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการถือเป็นรากฐานสำคัญในการป้องกัน และรักษาโคเลสเตอรอลในเลือดสูงที่ดีที่สุด โดยมีหลักปฏิบัติสำคัญๆ ดังต่อไปนี้
1.ลดปริมาณไขมันที่รับประทานให้น้อยลง
2.หลีกเลี่ยงอาหารที่กรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน มันสัตว์ต่างๆ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม กะทิ นม เนยแข็ง ครีม ฯลฯ
3.รับประทานกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากขึ้น ซึ่งได้จากน้ำมันพืชต่างๆ เพราะน้ำมันพืชมีกรดไลโนเลอิกมาก สามารถลดโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้
4.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ กุ้ง ปลาหมึก หอย
5.รับประทานอาหารที่มีเส้นใยให้มากขึ้น เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่างๆ ลดอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล
6.รับประทานอาหารที่มีโปรตีนอย่างเหมาะสม เช่น ปลาต่างๆ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเป็นวิธีการหนึ่งที่มีส่วนช่วยทำให้ระดับโคเลสเตอรอลลดลง เพิ่ม HDL โคเลสเตอรอล และสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายอีกด้วย โดยวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมในการช่วยให้หัวใจและปอดแข็งแรง คือการออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่าย น้ำ ขี่จักรยาน อย่างต่อเนื่องนาน 20-50 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง กีฬาบางประเภท เช่น กอล์ฟ เทนนิส แม้จะช่วยเผาผลาญพลังงาน แต่ไม่จัดเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค
เมื่อต้องการเลือกใช้ยาลดโคเลสเตอรอล
•Bile Acid Sequestrans
มีลักษณะเป็นผง เวลารับประทานต้องผสมกับน้ำ ยาชนิดนี้จะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจึงไม่มีผลต่อตับ แต่รสชาติไม่อร่อยและมีผลแทรกซ้อนทางลำไส้บ่อย เช่น ท้องอืด ท้องผูก สามารถลดโคเลสเตอรอลได้ในระดับหนึ่ง แต่มีผลต่อไตรกลีเซอไรด์ และ เอช ดี แอล น้อย
•Niacin
แม้จะมีประสิทธิภาพลดโคเลสเตอรอลได้ดี แต่ไม่เป็นที่นิยมใช้มากนักเนื่องจากมีผลแทรกซ้อนมาก อาทิ อาการร้อนวูบวาบเนื่องจากการขยายหลอดเลือดแดง ความดันโลหิตต่ำน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นหรือควบคุมได้ยากขึ้น กรดยูริคสูงขึ้น อาจทำให้ตับอักเสบรุนแรง Niacin รูปแบบที่ออกฤทธิ์นานอาจช่วยลดผลแทรกซ้อนดังกล่าวลงได้บ้าง
•Statins
ยากลุ่มนี้นอกจากลดโคเลสเตอรอลได้ดีมากแล้ว ยังเชื่อว่ามีผลดีต่อหลอดเลือดแดง โดยกลไกที่ไม่เกี่ยวข้องกับการลดไขมันด้วย ยานี้จึงสามารถใช้เป็นกลุ่มแรกสำหรับผู้ที่มีโคเลสเตอรอลสูง นอกจากนี้ยังสามารถลดไตรกลีเซอไรด์ได้พอสมควร และเพิ่ม เอช ดี แอลได้ด้วย แต่ก็มีผลแทรกซ้อนบ้างเล็กน้อยต่อการเกิดตับอักเสบและกล้ามเนื้ออักเสบรุนแรง ซึ่งพบในอัตราที่ต่ำมาก ยากลุ่มนี้ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคตับที่ยังดำเนินอยู่ (Active Liver Disease)
•Fibrates
เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานที่มักจะมีไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง และ HDL ต่ำ และไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคตับ
เขาว่า…..เชื่อได้แค่ไหน
Q.แค่หลีกเลี่ยงอาหารมันๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็เพียงพอในการป้องกัน
โคเลสเตอรอลสูงแล้ว ใช่ไหมครับ ?
A.ไม่ถูกทั้งหมดครับ เพราะการเกิดโคเลสเตอรอลสูงอาจมาจากกรรมพันธุ์ก็ได้
Q. จะสังเกตอาการได้อย่างไรว่าตัวเองโคเลสเตอรอลสูง ?
A.เป็นเรื่องที่คนส่วนมากเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เพราะโคเลสเตอรอลสูงไม่ได้ทำให้เกิดอาการหรือปัญหาโดยตรง เช่น โคเลสเตอรอลสูง 300 ไม่ได้ทำให้เวียนศีรษะหรือแน่นหน้าอก แต่การสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือดแดงนานๆ ต่างหากที่จะทำให้เกิดหลอดเลือดตีบตามมา พูดง่ายๆ ก็คือยิ่งปล่อยให้โคเลสเตอรอลสูงนานๆ การสะสมของไขมันก็มากตามไปด้วย จนเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดในอนาคตครับ
Q.ถ้าเราเลือกรับประทานแต่อาหารที่ไม่มีโคเลสเตอรอลเลย ก็ไม่มีทางเกิดโคเลสเตอรอลในเลือดสูงใช่มั้ย ?
A .ไม่จริงครับ อาหารบางชนิดแม้ไม่มีโคเลสเตอรอลเลย แต่ทำให้ระดับไขมันในเลือดสูงขึ้นได้ เช่น อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อาทิ อาหารที่มีส่วนผสมของกะทิ เนยเทียม หรือครีมเทียมที่ทำจากน้ำมันพืช ไขมันอิ่มตัวเหล่านี้จะไปขัดขวางการเผาผลาญโคเลสเตอรอลที่ตับ ซึ่งก็จะทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นได้ รวมทั้งอาหารที่ให้แป้งและน้ำตาลมาก หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถ้ารับประทานในปริมาณมากๆ ก็จะทำให้ไขมันในเลือดอีกตัว คือ ไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นได้
โดย นพ. วิชัย จตุรพิตร ผู้อำนวยการ ศูนย์แพทย์อาชีวะเวชศาสตร์กรุงเทพ
การตรวจระดับไขมันในเลือด
การตรวจระดับไขมันในเลือด
เป็นที่ทราบกันดีว่า ภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ และโรคอัมพาต เราจึงควรมีการตรวจวัดระดับไขมันในเลือด เพื่อป้องกันโรคเหล่านี้ โดยให้การบำบัดรักษาอย่างถูกต้องไม่ให้มีระดับไขมันในเลือดสูง
แต่ถ้าในขณะนี้ เรามีผลการตรวจเลือดอยู่ในมือ เราจะทราบได้อย่างไรว่าผลที่ตรวจได้บอกอะไร หรือตัวเลขที่ได้นั้น หมายถึงอะไร สูง-ต่ำอย่างไร
ในปัจจุบัน การตรวจวัดค่าของโคเลสเตอรอลรวม(Total Cholesterol)เพียงอย่างเดียวไม่พอเพียงในการบอกสถานะความเสี่ยงต่อโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด เราต้องการตรวจวัดระดับไขมันอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ได้แก่
1.โคเลสเตอรอลรวม(Total Cho.)
2.ไตรกลีเซอไรด์(Triglyceride)
3.HDL-Cho.(ไขมันชนิดดี)
4.LDL-Cho.(ไขมันชนิดไม่ดี)
โคเลสเตอรอลรวม (Total Cholesteral)
เป็นค่าที่วัดระดับโคเลสเตอรอลรวม ซึ่งมีทั้ง โคเลสเตอรอลชนิดดี และโคเลสเตอรอลชนิดไม่ดีปนกัน
โดยทั่วไประดับโคเลสเตอรอลรวมที่ตรวจพบ จะมาจาก มีโคเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL-Cho) ประมาณร้อยละ 70 และเป็นไขมันชนิดที่ดี(HDL-Cho) ประมาณร้อยละ 17
ไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)
การมีไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเช่นเดียวกับโคเลสเตอรอล ไขมันที่เรารับประทาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันพืช ไขมันสัตว์ ไขมันที่ซ่อนอยู่ในอาหารชนิดต่างๆ ส่วนใหญ่ คือไตรกลีเซอไรด์ นั่นเอง ไตรกลีเซอไรด์ที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจะถูกนำไปใช้เป็นพลังงาน แต่ถ้ามีมากเกินกว่าที่ร่างกาย
ต้องการ ไตรกลีเซอไรด์จะถูกเปลี่ยนเป็นเนื้อเยื่อไขมันสะสมอยู่ภายในร่างกาย
ไขมัน HDL (High Density Lipoprotein )
เป็นไขมันที่ทำหน้าที่จับโคเลสเตอรอลจากเซลล์ของร่างกาย และนำไปกำจัดทิ้งที่ตับ ดังนั้นจึงเป็นไขมันที่ดีต่อร่างกาย ถ้ามีระดับ HDL-Cholesterol สูง จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยลง
ไขมัน LDL (Low Density Lipoprotein)
เป็นอนุภาคที่ทำหน้าที่ขนส่งโคเลสเตอรอลไปตามกระแสเลือด LDL สามารถจับกับผนังเส้นเลือดได้ ทำให้เกิดการสะสมโคเลสเตอรอลบนผนังเส้นเลือด เพราะฉะนั้น LDL จึงเป็นอนุภาคไขมันชนิดเลว ซึ่งจะบ่งชี้ว่า เรามีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากหรือน้อย
เราสามารถตรวจวัด หาค่า LDL ได้โดยตรง หรือถ้าเรารู้ค่าของไขมันโคเลสเตอรอลรวม, ไขมันไตรกลีเซอไรด์, ไขมัน HDL เราก็สามารถหาค่า LDL ได้จากสูตร
LDL = โคเลสเตอรอลรวม – HDL – (ไตรกลีเซอไรด์)
ตัวอย่าง
ถ้าเราตรวจได้ โคเลสเตอรอล 240 มก./ดล.
ไตรกลีเซอไรด์ 200 มก./ดล.
HDL 50 มก./ดล.
LDL = 240 – 50 – (200/5) = 150 มก./ดล.
ดังนั้น ถ้าหากเราต้องการรู้ว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด เราจำเป็นจะต้องรู้ระดับไขมันที่ไม่ดี คือ LDL-Cholesterol
โดย นพ. วิชัย จตุรพิตร ผู้อำนวยการ ศูนย์แพทย์อาชีวะเวชศาสตร์กรุงเทพ
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar)
เป็นการตรวจเพื่อหาโรคเบาหวาน โดยใช้วิธีการตรวจวัดระดับกลูโคส (น้ำตาล) ในเลือด หลังจากอดอาหารมาก่อน อย่างน้อย 8 ชั่วโมง
การมีเบาหวาน หมายถึง มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ และก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้ ทั้งชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานขึ้นตา โรคไตจากเบาหวาน และนำไปสู่ภาวะไตวาย ซึ่งต้องอาศัยการรักษาด้วยการฟอกเลือด ซึ่งลำบากไม่น้อย เบาหวานยังก่อให้เกิดโรคของหลอดเลือดสมอง โรคอัมพาต และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และหลอดเลือดของแขนขาตีบ ซึ่งชักนำให้เกิดภาวะแผลหายยาก เนื้อตาย และอาจต้องสูญเสียอวัยวะบางส่วน ในผู้ที่เพิ่งค้นพบว่าเป็นโรคเบาหวาน มีการตรวจพบว่า มีโรคเบาหวานขึ้นตาแล้ว ถึงร้อยละ 20 ซึ่งแสดงว่า คนเหล่านี้เป็นเบาหวานมาแล้วอย่างน้อย 4-7 ปี โดยไม่รู้ตัว ซึ่งคนเหล่านี้ ถ้าทราบว่าตนเองเป็นเบาหวาน และรักษาควบคุมให้ดีก็สามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนเหล่านี้ได้
ผู้ที่ “มีแนวโน้มเป็นเบาหวาน” ควรควบคุมอาหาร ลดน้ำหนัก และติดตามตรวจเลือดบ่อยขึ้น อาจจะปีละ 2-3 ครั้ง
สำหรับ ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่า เป็น”โรคเบาหวาน” แน่นอนแล้ว ถ้าควบคุมได้ดี วัดระดับน้ำตาลในเลือด ได้ต่ำกว่า 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ก็ไม่ได้แปลว่า ผู้นั้นหายจากโรคเบาหวาน เพียงแต่ควบคุมโรคเบาหวานได้เท่านั้น และยังจำเป็นจะต้องใช้มาตรการควบคุมต่อเนื่องตลอดไป
โดย นพ. วิชัย จตุรพิตร ผู้อำนวยการ ศูนย์แพทย์อาชีวะเวชศาสตร์กรุงเทพ
การตรวจปัสสาวะสมบูรณ์แบบ
การตรวจปัสสาวะสมบูรณ์แบบ (Complete Urine Analysis : UA)
เป็นการตรวจที่มีประโยชน์มาก เนื่องจากสามารถบ่งชี้ความผิดปกติของไตได้ตั้งแต่ระยะแรกที่ยังไม่มีอาการ ประเทศไทยเป็นประเทศที่พบโรคไตวายเรื้อรังค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่สามารถรักษาและป้องกันได้ ถ้าตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่แรกก่อนที่ไตจะเสื่อมจนเป็นไตวาย
ในการตรวจปัสสาวะ ผลการตรวจที่สำคัญ ได้แก่
1. การตรวจหาโปรตีน (ไข่ขาว) ในปัสสาวะ
2. การตรวจหาเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ
3. การตรวจหาเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ
การตรวจโปรตีนในปัสสาวะ
โดยปกติโปรตีนจะรั่วออกมาในปัสสาวะเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะตรวจไม่พบ แต่เมื่อไตมีพยาธิ สภาพเกิดขึ้นมักจะมีผลทำให้โปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะมากขึ้นจนตรวจพบได้ ซึ่งจะรายงานผลตามความเข้มข้นของโปรตีน ที่ตรวจพบตั้งแต่ 1+ ถึงระดับ 4+ เพราะฉะนั้นในผู้ที่ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ จะต้องระวังแล้วว่าไตของตนเอง เริ่มมีความเสื่อมลงจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง และควรต้องได้รับการตรวจซ้ำ และติดตามตรวจวิเคราะห์หาสาเหตุต่อไป
การตรวจหาเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ
ในคนปกติตรวจพบเม็ดเลือดแดง จำนวนประมาณ 0-5 เซลล์ ต่อการมองในกล้องขยายกำลังสูงหนึ่งครั้ง ถ้าตรวจพบจำนวนเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ เช่น มากกว่า 10 เซลล์ขึ้นไป ถือว่าไตมีความผิดปกติ และต้องตรวจสืบค้นหาสาเหตุต่อไป เช่น อาจเป็นนิ่ว, อาจมีไตอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ หรือการอักเสบจากภูมิไวเกินของร่างกาย เป็นต้น
การตรวจหาเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ
ในคนปกติตรวจพบเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะได้ประมาณ 0-5 เซลล์ ต่อการมองกล้องจุลทรรศน์หนึ่งครั้ง เช่นเดียวกับเม็ดเลือดแดง ถ้าตรวจพบมีจำนวนเม็ดเลือดขาวมากกว่าปกติ จะบ่งชี้ว่า กำลังมีการอักเสบติดเชื้อในระบบของทางเดินปัสสาวะ ซึ่งพบบ่อยในเพศหญิง
นอกจากการตรวจกรองโรคของระบบไตแล้ว การตรวจปัสสาวะยังช่วยกรองโรคเบาหวานได้ โดยถ้าตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ จะบ่งชี้วาอาจเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งควรยืนยันด้วยการตรวจเลือดเพิ่มเติมต่อ
โดย นพ. วิชัย จตุรพิตร ผู้อำนวยการ ศูนย์แพทย์อาชีวะเวชศาสตร์กรุงเทพ
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
(Complete Blood Count : CBC)
การตรวจประกอบด้วย
- Hemoglobin : HGB การวัดปริมาณความเข้มข้นของฮีโมโกลบิน
ค่าปกติ ชาย 13.0-18.0 gm%
หญิง 11.5-16.5 gm%
- Hematocrit : HCT การวัดปริมาณอัดแน่นของเม็ดเลือดแดง
ค่าปกติ ชาย 40-54 %
หญิง 36-47 %
การตรวจวัด HGB และ HCT ใช้ตรวจคัดกรองภาวะโลหิตจาง ถ้าค่าของ HGB และ HCT ที่ตรวจพบมีค่าต่ำกว่าเกณฑ์ ถือว่า “มีภาวะโลหิตจาง”
ภาวะโลหิตจาง มีผลทำให้ประสิทธิภาพของการไหลเวียนเลือดลดลง ทำให้ความสามารถในการทำงาน ความอดทน และความสามารถในการใช้กำลังร่างกายลดลง
ซึ่งกลุ่มที่มีโลหิตจางได้บ่อย ได้แก่ สตรีตั้งครรภ์ สตรีในวัยเจริญพันธุ์ ประชากรที่มีรายได้น้อย และเด็กที่ขาดสารอาหาร
สาเหตุของการเกิดภาวะโลหิตจางที่สำคัญและพบบ่อยที่สุด คือ การขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นภาวะโลหิตจางที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก
แต่สำหรับในประเทศไทย ยังมีภาวะโลหิตจางที่พบบ่อย คือ โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) และฮีโมโกลบินผิดปกติ (Hemoglobinopathies) ซึ่งเกิดเนื่องจากมีความผิดปกติในการสร้างฮีโมโกลบิน ที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด และถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งกลุ่มนี้ มีลักษณะตั้งแต่ ไม่มีอาการเลย คือ เป็นพาหะเท่านั้น จนถึงมีอาการรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก (เป็นโรคธาลัสซีเมีย)
มีประชากรไทยจำนวนมากที่เป็นพาหนะ โดยไม่รู้ตัว และไม่มีอาการ แต่จะถ่ายทอดสู่ลูกได้ และลูกอาจจะเป็นโรคธาลัสซีเมียได้
ปัจจุบันมีเครื่องตรวจนับเม็ดเลือด (Automated Electronic Cell Counters) ซึ่งสามารถตรวจระดับฮีโมโกลบิน ตรวจนับจำนวนเม็ดเลือดแดง (Red Cell Count) ขนาดเม็ดเลือดแดงโดยเฉลี่ย (Mean Corpuscular Volume : MCV) และการกระจายตัวของขนาดเม็ดเลือดแดง (Red Cell Distribution Width : RDW) ซึ่งทำให้สามารถแยกสาเหตุ และวินิจฉัยสาเหตุของภาวะโลหิตจางได้ละเอียด และถูกต้องยิ่งขึ้น
ส่วนค่าอื่นๆ ในการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด มักจะเป็นค่าที่ใช้ประกอบการวินิจฉัยโรคมากกว่า ใช้ในการตรวจกรองสุขภาพ เช่น จำนวนเม็ดเลือดขาว และชนิดของเม็ดเลือดขาว มักใช้ในการประเมินภาวะติดเชื้อ นอกจากในกรณี ตรวจพบจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงมากๆ เช่น มีจำนวนเป็นหลายหมื่นตัวต่อตารางมิลลิเมตร ให้สงสัยว่าจะมีมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) ปริมาณเกล็ดเลือด (Pletelet) ก็มักตรวจเพื่อการวินิจฉัยโรค เช่น ไข้เลือดออกที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น
โดย นพ. วิชัย จตุรพิตร ผู้อำนวยการ ศูนย์แพทย์อาชีวะเวชศาสตร์กรุงเทพ
สมรรถภาพปอด (Spirometry)
หมายถึง การตรวจสมรรถภาพของปอด โดยการตรวจวัดปริมาตรของอากาศที่หายใจเข้า และออกจากปอด โดยอาศัยเครื่องมือที่ใช้วัด เรียกว่า “Spirometer” การตรวจสมรรถภาพปอดจะสามารถบ่งชี้ถึงการเสื่อมของการทำงานของปอดก่อนที่จะมีอาการเกิดขึ้น
ข้อบ่งชี้ในการตรวจสมรรถภาพปอด (Spirometry)
1. เพื่อการวินิจฉัยโรค เช่น ในผู้ที่มีอาการไอเรื้อรัง มีอาการหอบ หายใจมีเสียงหวีด อาการตรวจจะช่วยในการวินิจฉัยโรคที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้
2. เพื่อการประเมิน ระดับความรุนแรงของโรคระบบทางเดินหายใจที่เป็นอยู่
3. เพื่อการเฝ้าระวังการเกิดโรค ในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่มีอาชีพที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค เช่น ทำงานเหมืองแร่ ทำงานที่มีไอระเหยของโลหะ หรือสารอื่นๆ ทำงานในที่มีฝุ่นฝ้าย เช่น โรงทอผ้า ทำงานในที่มีฝุ่น หินทราย (ซิลิคา) เช่น โรงงานบด โม่ ย่อย สกัด ระเบิดหิน และอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์
การเตรียมตัวก่อนทำการตรวจ
1. ไม่ออกกำลังกายก่อนมาตรวจอย่างน้อย 30 นาที
2. ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่รัดทรวงอก และท้อง
3. หลีกเลี่ยงอาหารที่อิ่มมากก่อนตรวจ 2 ชั่วโมง
4. ในผู้ที่มีโรคหืด ให้หยุดยาขยายหลอดลมก่อนตรวจ
5. งดสูบบุหรี่อย่างน้อย [...]