28คำภาษาไทยที่คุณสะกดผิดมาตลอดชีวิต
1.กะเทย VS กระเทย
คำที่ถูก => กะเทย
คำที่ผิด => กระเทย
คำคำนี้เจอได้บ่อย แต่จะมีกี่คนที่เขียนถูก ท่องให้ขึ้นใจ คำนี้ ไม่มี “ร”
2. โควตา VS โควต้า
คำที่ถูก => โควตา
คำที่ผิด =>โควต้า
ตามหลักการเขียนคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ ไม่ต้องเติมวรรณยุกต์ ดังนั้น Quota จึงเขียนได้ว่าโควตา ไม่ต้องเติมไม้โทให้คำว่า “ตา”
3. ต่างๆ นานา VS ต่างๆ นาๆ
คำที่ถูก => ต่างๆ นานา
คำที่ผิด => ต่างๆ นาๆ
โดยปกติคำซ้ำจะเติมเครื่องหมายไม้ยมกไว้ด้านหลังคำที่ต้องการซ้ำ ยกเว้นคำว่า “นานา” “จะจะ” ที่ไม่ต้องซ้ำนะ เขียนแบบเดิมสองครั้งได้เลย
4. ผลัดวันประกันพรุ่ง VS ผัดวันประกันพรุ่ง
คำที่ถูก => ผัดวันประกันพรุ่ง
คำที่ผิด => ผลัดวันประกันพรุ่ง
ข้อนี้ออกข้อสอบบ่อย ผัดวันประกันพรุ่งไม่ต้องมี “ล” นะครับ “ผลัด” แบบนี้ใช้สำหรับ “ผลัดผ้า”
5. ผาสุข VS ผาสุก
คำที่ถูก => ผาสุก
คำที่ผิด => ผาสุข
เชื่อว่าหลายคนไปโยงกับความหมายความสุข ก็เลยใช้ “ข” สะกด แต่จริงๆ แล้วใช้ “ก” สะกด
6. พะแนง VS พแนง
คำที่ถูก => พะแนง
คำที่ผิด => พแนง
พะแนง อาหารโปรดของใครหลายคน คำๆนี้เพื่อนๆ สามารถ สะกดได้ตรงตัวเลย เขียนง่ายๆ ว่า “พะแนง”
7. อย่าร้าง VS หย่าร้าง
คำที่ถูก => หย่าร้าง
คำที่ผิด => อย่าร้าง
คำว่า “หย่า” กับ “อย่า” ออกเสียงเหมือนกันแต่มีความหมายต่างๆ กัน “อย่า” เป็นคำช่วยกริยาที่บอกห้ามหรือไม่ให้ทำสิ่งใดๆ ส่วน “หย่า” หมายถึง การเลิกเป็นสามีภรรยากัน เขียนให้ถูกกันนะจ๊ะจะได้ไม่งงความหมาย
8.มัคคุเทศน์ VS มัคคุเทศก์
คำที่ถูก => มัคคุเทศก์
คำที่ผิด => มัคคุเทศน์
มัคคุเทศก์ ก็คือผู้นำเที่ยวหรือไกด์นั่นเอง ไม่ใช่พระที่จะต้องไปนั่งเทศน์ ดังนั้น “เทศ..” ใช้ “ก์” นะ
9. กงเกวียนกำเกวียน VS กงกำกงเกวียน
คำที่ถูก => กงเกวียนกำเกวียน
คำที่ผิด => กงกำกงเกวียน
คำนี้เป็นสำนวน หลายคนติดใช้ กงกำกงเกวียนหรือกงกรรมกงเกวียน แต่ที่ถูกต้องคือ”กงเกวียนกำเกวียน” เพราะทั้ง กง และ กำ เป็นส่วนประกอบของล้อเกวียน โดยคำนี้มีความหมายว่า กรรมตามสนอง
10. กังวาล VS กังวาน
คำที่ถูก => กังวาน
คำที่ผิด => กังวาล
กังวาน หมายถึง เสียงที่ก้องอยู่ได้นาน กังวาน เป็นอีกคำที่สะกดด้วย “น” ได้เลย ไม่ต้องไปสะกดแบบอื่นให้มันยากกว่าเดิม
11. อนุญาติ VS อนุญาต
คำที่ถูก => อนุญาต
คำที่ผิด => อนุญาติ
ให้ท่องไว้ว่า อนุญาต ไม่ใช่ “ญาติ” ตัวเล็กๆ (อนุ แปลว่า น้อย,เล็ก) ดังนั้นแค่ท่องประโยคนี้ก็เตือนสติเวลาเขียนได้
12. ขี้เกียจ VS ขี้เกลียด
คำที่ถูก => ขี้เกียจ
คำที่ผิด => ขี้เกลียด
เพื่อนๆ คงไม่มีปัญหากับคำว่า เกลียด เพราะจำได้ไม่ยาก ซึ่งคำว่าเกลียดหมายถึง ไม่ชอบ , ชัง คำนี้ยังมีความหมายเหมือนกับ “รังเกียจ” อีกด้วย ดูจากวิธีเขียนของคำสองคำก็ต่าง กันแล้ว ดังนั้นเมื่อเจอ “ขี้เกียจ” อีกคำนึง เพื่อนๆ อาจจะสับสน มองว่ามาจากคำว่า ขี้+เกลียด หรือเปล่า จึงจำผิดมาโดยตลอด ขอให้จำใหม่ ขี้เกียจ ไม่ต้องควบกล้ำและใช้“จ” สะกด
13. ศรีษะ VS ศีรษะ
คำที่ถูก => ศีรษะ
คำที่ผิด => ศรีษะ
การสะกดคำนี้มีปัญหาเพียงอย่างเดียวคือการเติมสระอี ที่มักวางผิดตำแหน่งไปวางตรง “ร” ขอให้เพื่อนๆ จำให้ขึ้นใจว่าหัวเป็นของสูง และเราก็มักจะใส่หมวกที่หัว ดังนั้น “ศ” หัวของตัวอักษรอยู่สูงกว่า “ร” จึงต้องเอาสระอีไปวางไว้ที่ “ศ”
14. ผัดไทย VS ผัดไท
คำที่ถูก => ผัดไทย
คำที่ผิด => ผัดไท
คำนี้มีวิธีการจำง่ายๆ ตามที่ราชบัณฑิตยสถานบอกไว้ก็คือ คำว่า “ไทย” ในผัดไทย เขียนเหมือนคนไทย นั่นเอง (อาหารของคนไทย)
15. อานิสงส์ VS อานิสงฆ์
คำที่ถูก => อานิสงส์
คำที่ผิด => อานิสงฆ์
คำสองคำนี้ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกัน คือ เป็นเรื่องของศาสนา เพื่อนๆ จึงอาจโยงความหมายและการสะกดคำ เข้าด้วยกัน ซึ่งความจริงแล้ว อานิสงส์ มีความหมายในตัว คือ ผลแห่งกุศลกรรม ซึ่งเป็นคำบาลี(อานิสํส) ไม่ใช่ พระสงฆ์ ดังนั้นจึงใช้ “ส์”
16. ใบกะเพรา VS ใบกระเพรา
คำที่ถูก => ใบกะเพรา
คำที่ผิด => ใบกระเพรา
ร้านอาหารตามสั่งส่วนมากเขียนคำนี้ผิด การเขียนที่ถูกต้องจริงๆ มี “ร” เพียงแค่ที่เดียว คือ”เพรา” ส่วน “กะ” ไม่ต้องนะ
ซึ่งคำนี้จะสลับกับคำว่า กระเพาะ(อาหาร) ที่มี “ร” ในคำว่า “กระ” ส่วน “เพาะ” ไม่มี
17. ข้าวเหนียวมูน VS ข้าวเหนียวมูล
คำที่ถูก => ข้าวเหนียวมูน
คำที่ผิด => ข้าวเหนียวมูล
พูดถึงคำนี้ ดูไม่น่าจะมีคนเขียนผิดนะ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคนเขียน ผิดเยอะมาก เพราะชินกับคำว่า “มูล” โดยหารู้ไม่ว่าคำว่ามูล หมายถึง ราก หรือเศษสิ่งของต่างๆ รวมไปถึงอุจจาระ ซึ่ง…เอามารวมกับสิ่งที่เป็นของกิน ถึงจะเป็นแค่ชื่อก็ไม่ไหวนะ ใครจะกล้ากินล่ะเนี่ย
ส่วน “มูน” ในที่นี้หมายถึง การเอากะทิมาคลุกเคล้ากับข้าวเหนียวเพื่อให้เกิดความมันนั่นเอง
18. คลินิก VS คลีนิก VS คลินิค
คำที่ถูก => คลินิก
คำที่ผิด => คลีนิก/ คลินิค
คำนี้เขียนกันหลากหลายรูปแบบเลย ทั้ง คลินิก/ คลีนิก/ คลีนิค/ คลินิค แต่ที่ถูกต้องจริงๆ เป็นเสียงสั้นใช้สระอิ และใช้“ก” สะกด
19. อุบาทว์ VS อุบาท VS อุบาต
คำที่ถูก => อุบาทว์
คำที่ผิด => อุบาท
คำที่ออกเสียงว่า “บาด” ในภาษาไทยมีหลายคำทีเดียว เช่น บาท=เท้า, บาตร=บาตรใส่อาหารของพระ, บาด=ของมีคมบาดจนเป็นแผล, บาต=อุกกาบาต รวมถึงคำว่าอุบาทว์ ซึ่งก็เขียนต่างจาก “บาด” คำอื่นๆ โดยจะต้องมี “ว์” ตามหลัง“ท” เสมอ
20. คัดสรร VS คัดสรรค์
คำที่ถูก => คัดสรร
คำที่ผิด => คัดสรรค์
ตระกูลคำที่ออกเสียงว่า “สัน” ในภาษาไทยก็มีหลายคำเหมือนกัน วิธีเขียนก็มีทั้งที่เป็น ร หัน ( -รร) และเขียนโดยใช้ไม้หันอากาศ ในส่วนที่ใช้ ร หัน (-รร) ก็ยิ่งสับสนงง งวยไปอีก เมื่อบางคำก็มีตัวการันต์ บางคำก็ไม่มีตัวการันต์ จากตัวอย่างคำว่า “คัด-สัน” ที่ยกมานี้ก็เป็นอีกคำที่เขียน ผิดบ่อยสุดๆ ท่องกันให้ขึ้นใจเลย “คัดสรร” ไม่ต้องมีตัว “ค์” จ้า เพราะคำว่า“สรร” หมายถึง การเลือก, การคัด อยู่แล้ว และคำนี้ก็เป็นคำซ้อนที่เอาความหมายเหมือนกันมาซ้อนคำกันนั่นเอง
**********@@@@@@@@@**********
ไปงานศพ พบคำศัพท์
ปัจจุบันการจัดพิธีการเกี่ยวกับงานศพค่อนข้างจะสะดวกกว่าแต่ก่อนมาก วัดแทบจะทุกวัดจะมีเจ้าหน้าที่ไว้ประจำแต่ละศาลา เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าภาพทั้งในเรื่องการอำนวยความสะดวก รวมไปถึงการสวดพระอภิธรรมในแต่ละคืน บางวัดก็อาจจะมีพระภิกษุเป็นผู้ดำเนินการต่าง ๆ เอง และเมื่อถึงวันสำคัญ คือ พิธีในงานฌาปนกิจหรือ งานพระราชทานเพลิงศพ บางรายจะมีการอ่านประวัติของผู้วายชนม์ โดยบอกให้ทราบถึงวันเดือนปีเกิด และสาเหตุที่วายชนม์ จากนั้นก็จะมีคำกล่าวว่าผู้วายชนม์มีอายุเท่าไร โดยใช้ศัพท์ว่า “สิริอายุได้ ๗๙ ปี” ถือว่าอ่านได้ถูกต้อง แต่ก็มีหลายครั้งที่ได้ยินผู้อ่านข่าวทางสถานีโทรทัศน์บางคนอ่านว่า “สิริรวมอายุได้ ๗๙ ปี” ตามรูปศัพท์คำว่า “สิริ” มีความหมายว่า “รวม” อยู่แล้ว ใช้ว่า “สิริอายุได้ ๗๙ ปี” ดูจะเหมาะสมแล้ว
ในตอนจบของการอ่านประวัติ พิธีกรจะเชิญชวนให้ผู้ร่วมงานส่งจิตอธิษฐานให้ดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ไปสู่สุคติ ซึ่งเป็นการอธิษฐานที่ถูกต้อง เพราะ “สู่สุคติ” ก็คือให้ได้ไปเกิดใหม่ในที่ที่สุขสบาย หรือเกิดบนสรวงสวรรค์นั่นเอง แต่ก็จะมีบางคนกล่าวเชิญชวนให้ส่งจิตอธิษฐานว่า “ขอให้ดวงวิญญาณของผู้วายชนม์จงมีความสุขอยู่ในเบื้องสัมปรายภพ” หรือ “ขอให้ดวงวิญญาณที่อยู่ในสัมปรายภพจงมีแต่ความสุขเทอญ” คำว่า “สัมปรายภพ” นั้นหมายถึง “ภพหน้า” มีหลายคนที่เข้าใจว่า “สัมปรายภพ” หมายถึง “สวรรค์เบื้องบน”
และในช่วง “ทอดผ้าบังสุกุล” ก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ ก็ยังคงได้ยินออกเสียงเชิญแขกผู้ใหญ่ให้มา “ทอดผ้าบังสกุล” กันเสมอๆ คำว่า “สกุล” มีความหมายว่า “ตระกูล, วงศ์, เชื้อสาย, เผ่าพันธุ์” แล้วเช่นนี้ท่านจะไป “บังสกุล” ท่านทำไมกัน ส่วนคำว่า “บังสุกุล” เป็นคำเรียก “ผ้าที่พระภิกษุชักจากศพ หรือที่ทอดไว้หน้าศพ หรือที่ทอดบนสายสิญจน์หรือผ้าภูษาโยงที่ต่อจากศพด้วยการปลงกรรมฐานว่า ผ้าบังสุกุล, เรียกกิริยาที่พระภิกษุชักผ้าเช่นนั้นว่า ชักบังสุกุล”
พิธีเผาศพในปัจจุบันจะเผาศพบนเมรุ(อ่านว่า เมน) ซึ่งมีเตาเผาที่ใช้ความร้อนจากฟืน ถ่าน หรือกระแสไฟฟ้าในการเผาศพ แต่ในปัจจุบันวัดส่วนใหญ่จะใช้กระแสไฟฟ้า ถ้านับย้อนหลังไปประมาณไม่ต่ำกว่า ๓๕ ปี การเผาศพหรือการฌาปนกิจจะไม่มิดชิดเหมือนกับการใช้เมรุในปัจจุบัน เพราะต้องนำศพหรือโลงบรรจุศพมาวางบนจิตกาธาน คำว่า “จิตกาธาน” ก็คือเชิงตะกอนที่ใช้เผาศพนั่นเอง การเผาก็จะใช้ฟืนสุมและจุดไฟเผากันกลางแจ้งเช่นนั้นเอง ครอบครัวที่มีฐานะก็จะจัดตกแต่งเมรุด้วยหยวกกล้วยโดยช่างแทงหยวกที่มีฝีมือก็จะใช้ฝีมือในการฉลุลวดลายให้เป็นลายไทยที่สวยงาม ปัจจุบันในบางท้องที่ก็ยังคงประเพณีการเผาศพบนจิตกาธาน หรือบนเชิงตะกอนดังเช่นเดิม แต่จะไม่ประเจิดประเจ้อเหมือนเช่นสมัยก่อน ๆ
หลังพิธีฌาปนกิจวันรุ่งขึ้นพระสงฆ์จะนัดหมายให้เจ้าภาพมาเก็บอัฐิ พร้อมกับเตรียมดอกไม้ธูปเทียนและจัดหา "สามหาบ" มาให้พร้อม เจ้าภาพจะต้องเตรียมภาชนะมาใส่อัฐิ ภาชนะที่ใส่อัฐิอาจจะเป็น “โกศ” หรือ “โถ” ก็ได้ มาถึงตอนนี้เจ้าภาพบางคนก็ไม่เข้าใจว่าจะใช้อะไรดี และของสองอย่างนี้ต่างกันอย่างไร “โกศ” จะเป็นที่ใส่กระดูกรูปกลมทรงกระบอก มีขนาดต่าง ๆ กันที่ ฝาครอบมียอด แต่ถ้าเป็น “โถ” จะเป็นภาชนะที่ทำด้วยดินเผา หรือกระเบื้องเคลือบ ปากกว้าง มีฝาปิด อาจเรียกว่า “โกศโถ” ก็ได้
ส่วน “สามหาบ” ที่พระสงฆ์ให้จัดหามา หมายถึง อาหารคาว ๑ หาบ อาหารหวาน ๑ หาบ และเครื่องหุงต้ม ๑ หาบ ที่เจ้าภาพหาบเดินรอบเมรุแล้วถวายพระสงฆ์เวลาเก็บอัฐินั่นเอง และเรียกการเดินในพิธีนี้ว่า “เดินสามหาบ”
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรู้เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ จะช่วยให้ผู้อ่านได้นำไปใช้ให้ถูกต้องกันมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญรู้แล้วต้องขยายโดยเฉพาะลูกศิษย์ของเราให้เขานำไปบอกกล่าวเล่าแจ้งให้แก่บุคคลในครอบครัว เพียงแค่นี้ก็จะช่วยให้การใช้ภาษาไทยถูกต้องมากยิ่งขึ้น
ปรับปรุงข้อมูลล่าสุด เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568