การซื้อขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ตหรือออนไลน์ (E-commerce) เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีความสะดวกรวดเร็ว ต้นทุนต่ำ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ผู้บริโภค ได้อย่างทั่วถึง เป็นจำนวนมาก และทำการตลาดได้ทั่วโลก
ผู้จำหน่ายสินค้าออนไลน์ นอกจากจะต้องจดทะเบียนพานิชย์อิเลกทรอนิคส์แล้ว ยังจำเป็นต้องจดทะเบียนเป็นผู้ทำการตลาดแบบตรงและวางหลักประกันกับทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เนื่องจากการขายสินค้าออนไลน์ถือว่าเป็นการตลาดแบบตรง
นิยามการตลาดแบบตรงตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง หมายถึงการทำตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการสื่อสารข้อมูลเพื่อเสนอ ขายสินค้าหรือบริการโดยตรงต่อ ผู้บริโภคซึ่งอยู่ห่างโดยระยะทางและมุ่งหวังให้ผู้บริโภคแต่ละราย ตอบกลับเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบธุรกิจ ตลาดแบบตรงนั้น
ปัจจุบันคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้มีการตรวจสอบเข้มขึ้นโดยเฉพาะผู้ค้าออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการขายผ่านช่องทางเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก แอปพลิเคชัน หรือแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างๆ ที่มียอดขายเกินกว่าปีละ 1.8 ล้านบาท ต้องจดทะเบียนเป็น ผู้ค้าตลาดแบบตรง ตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2560 หากผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงไม่ไปจดทะเบียนประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง จะมีโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีการปรับเพิ่มอีกวันละ 10,000 บาทจนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน เหตุผลที่ สคบ. บังคับให้จดทะเบียนเนื่องจากป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการหลอกลวงผู้บริโภค
โดยธุรกิจดังกล่าวประกอบไปด้วย
วงเงินหลักประกันการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
1.1 กรณีบุคคลธรรมดา ต้องวางหลักประกันเป็นเงินจำนวนห้าพันบาท
1.2 กรณีห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท ต้องวางหลักประกันเป็นเงินจำนวนสองหมื่นห้าพันบาท
2.1 กรณีมีรายได้ไม่เกินยี่สิบห้าล้านบาทต่อปี
– ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ต้องวางหลักประกัน เป็นเงินจำนวนห้าพันบาท
– ถ้าเป็นห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท ต้องวางหลักประกันเป็นเงินจำนวนสองหมื่นห้าพันบาท
2.2 กรณีมีรายได้เกินยี่สิบห้าล้านบาท แต่ไม่เกินห้าสิบล้านบาทต่อปี ต้องวางหลักประกันเป็นเงินจำนวนห้าหมื่นบาท
2.3 กรณีมีรายได้เกินห้าสิบล้านบาท แต่ไม่เกินหนึ่งร้อยล้านบาทต่อปี ต้องวางหลักประกันเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนบาท
2.4 กรณีมีรายได้เกินหนึ่งร้อยล้านบาทต่อปี ต้องวางหลักประกันเป็นเงินจำนวนสองแสนบาท
ปรับปรุงข้อมูลล่าสุด เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568